เทศน์เช้า วันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๕๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
อ้าว ตั้งใจฟังเทศน์ ฟังเทศน์เพื่อบำรุงหัวใจนะ คนเรานะจิตใจอ่อนแอ เวลาร่างกายมันอ่อนแอ คนเราลูกเราต้องให้วัคซีน ให้วัคซีน ให้การดูแล ให้ความฟูมฟักเพื่อให้ร่างกายเขาแข็งแรงสมบูรณ์ ถ้าร่างกายเขาแข็งแรงสมบูรณ์แล้วให้เขามีการศึกษา นั้นคือปัญญาของเขา ถ้ามีปัญญาของเขา เขาจะรักษาตัวของเขาได้ พ่อแม่ถ้าลูกเรายืนมีที่ในสังคมได้ นี่เราพอใจแล้วล่ะ เราพอใจให้ลูกเรามีอาชีพ พอใจให้ลูกเรามีความสุข พอใจให้ลูกเราทำได้ อยู่ในสังคมได้ นี่พ่อแม่ก็หวังแค่นี้ ความรักของพ่อแม่เป็นความรักที่สะอาดบริสุทธิ์ ความรักของพ่อแม่
แต่เวลาในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า "ที่ไหนมีรัก ที่นั่นมีทุกข์" แล้วพราหมณ์เขาฟังว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดอย่างนั้นแล้วไม่เชื่อ ไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดอย่างนั้นจริงๆ หรือ? ที่ไหนมีรัก ที่นั่นมีทุกข์ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดสิ่งใดไปเขาจะร่ำลือไปทั่ว แล้วคนที่เขาฟังแล้ว เขามีเหตุผลโต้แย้งเขาไม่เชื่อ เขาก็ไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดจริงหรือว่า ที่ไหนมีรัก ที่นั่นมีทุกข์
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็บอกว่าจริง เราพูดจริงๆ แล้วก็ให้เหตุผลว่าจริงไหมล่ะ ถ้าเธอมีความรัก มีความหวงแหน มีความทุกข์ไหม? มันมีไปหมด แต่นี้ความรักของพ่อแม่เป็นความรักที่สะอาดบริสุทธิ์ ความรักผลของวัฏฏะ วัฏฏะเพราะอะไร? เพราะการเวียนว่ายตายเกิด เห็นไหม เพราะการเวียนว่ายตายเกิดเราทำบุญกุศลกันมาเราถึงได้มาเกิดเป็นลูกเป็นพ่อเป็นแม่กัน เราเกิดในชาติตระกูลเดียวกันมันต้องมีเวรมีกรรมต่อเนื่องกันมา ถ้าต่อเนื่องกันมาเราทำแต่สิ่งที่ดีๆ มันก็เป็นนามธรรม เป็นบุญกุศล
คำว่า บุญกุศล เห็นไหม ถ้าร่างกายอ่อนแอ ทำสิ่งใดมันก็ล้มลุกคลุกคลานไปทั้งนั้นแหละ ถ้าร่างกายอ่อนแอ ร่างกายอ่อนแอเราก็ต้องฟื้นฟู เขาต้องให้กลูโคลส เขาต้องให้น้ำเกลือเพื่อฟื้นฟูร่างกายให้แข็งแรงขึ้นมา ร่างกายถ้ามันอ่อนแอขนาดไหน เขาฟื้นฟูได้ในทางการแพทย์
พระเราเวลาอดอาหาร เวลาผ่อนอาหาร ผ่อนอาหารเพื่ออะไรล่ะ? ผ่อนอาหารเพื่อเวลานั่งสมาธิภาวนาไม่ให้ธาตุขันธ์มันทับจิต คำว่าธาตุขันธ์ทับจิต เห็นไหม พลังงานมันเหลือใช้ พอนั่งสิ่งใด พลังงานเหลือใช้นะ เราทำสิ่งใดก็เหนื่อย ก้าวเดินนี้ก็เหนื่อย แต่พอนั่งสมาธิภาวนามันเหลือใช้ตรงไหน มันเหลือใช้ที่พลังงานมันมากมันครอบงำ พอครอบงำมันนั่งสัปหงกโงกง่วงทั้งนั้นแหละ เวลาผ่อนอาหารๆ ไป ผ่อนอาหารหิวไหม? มันจะดึงพลังงานในร่างกายออกมาใช้ ดึงพลังงานออกมาใช้จนผอมโซเลย
เวลาหลวงตาท่านบอกว่า ท่านไปวิเวกมา เวลากลับไปหาหลวงปู่มั่น เฮ๊อะ ทำไมมันเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกล่ะ? เพราะอดอาหารตลอดไง พออดอาหารมันดึงพลังงานที่สะสมในร่างกายนั้นออกมาใช้ๆ พอออกมาใช้ธาตุขันธ์มันก็เบา พอธาตุขันธ์มันเบามันก็ไม่ทับจิต แล้วเวลาคนนั่งภาวนารู้สึกว่าร่างกายมันหิวกระหายไหม? หิว แต่ว่ามันไม่มีการหนักหน่วง มันไม่มีการต่างๆ นี่อดอาหาร อดนอนผ่อนอาหารเพื่อภาวนาดี นี่พูดถึงว่าถ้าร่างกายมันอ่อนแอ ร่างกายมันแข็งแรงเกินไป เราจะต้องควบคุมต้องระวังเลย แต่ถ้าจิตใจอ่อนแอล่ะ? ร่างกายอ่อนแอเขาให้วัคซีน เขาให้น้ำเกลือ เขาฟื้นฟูได้ แต่เวลาจิตใจอ่อนแอนะ เรามาทำบุญกุศลกัน เรามาให้วัคซีน เรามาฟื้นฟูหัวใจของเรา
ฟื้นฟูหัวใจของเรา เห็นไหม เวลาเพื่อนๆ เด็กๆ มันมีเพื่อนๆ ไป เพื่อนๆ มันก็ชักนำของมันไป ไปอยู่ในวงสังคมของมัน มันจะมีความสุขของมันมาก พูดเป็นภาษาเดียวกัน เวลาพ่อแม่พูด เวลาผู้ใหญ่พูดมันก็ฟังไม่เข้าใจแล้ว แล้วเด็กมันจะเบื่อคำนี้เลยว่านี่อาบน้ำร้อนมาก่อน เราอาบน้ำร้อนมาก่อนนะ ให้เชื่อฟังๆ เขาไม่เชื่อฟังหรอก นี่มันเป็นไปโดยวัย ถ้าเป็นไปโดยวัย เห็นไหม สิ่งที่เป็นไปโดยวัย นี่เวลาเขาอยู่ในสังคมของเขา เขาเป็นอย่างหนึ่ง
นี่ก็เหมือนกัน เวลามาวัดมาวา มาวัดมาวาเพื่อเสียสละเพื่อทำบุญกุศลของเรา คำว่าเสียสละนี่ฝึกฝนไง ถ้าฝึกฝนมันมีค่านะ เวลาหลวงตาท่านไปไหนท่านจะบอกเลย ไปเอาน้ำใจของคนๆ ท่านไม่หวังสิ่งใด ท่านเอาน้ำใจของคน เวลามันอึดอัดขัดข้องในหัวใจเราไม่มีทางออกนะ เวลาอึดอัดขัดข้องในใจมันทุกข์มาก มันบีบคั้นอยู่ในใจ แล้วมันจะออกอย่างไร แล้วเวลาสละทานมันจะออกได้อย่างไร ก็มันวัตถุมันไม่ใช่เรื่องของหัวใจ การเสียสละทานนี่เปิดหัวใจ เปิดหัวใจมันออก มันอัดอั้นตันใจเปิดออก เปิดให้มันรับ นี่หลวงตาบอกว่า เวลาเราเปิดประตูมาก เราเปิดหน้าต่างมาก อากาศมันจะถ่ายเท คำว่าถ่ายเท แต่ถ้าเราปิดหมดเลย เราปิดบ้านของเรามันก็จะอับจะชื้น มันจะทึบของมัน
นี่ก็เหมือนกัน การเสียสละ เราเห็นแก่วัตถุๆ ไง ว่าสิ่งนี้พระก็พูดทั้งนั้นแหละ อะไรก็ให้ทาน อะไรก็ทานเพราะพระเป็นผู้ได้ พระที่เป็นคุณธรรมนะ เวลาเขาได้สิ่งใดเขาทิ้งไว้ที่นั่น หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นนะท่านมีบริขาร ๘ เข้าป่าอย่างเดียว ขนาดสมณศักดิ์ท่านยังทิ้งเอาไว้ที่วัดเจดีย์หลวงเลย เออ สมณะฯ เอ็งอยู่นี่นะ ข้าจะไปป่าแล้ว ข้าไม่เกี่ยว แม้แต่สมณศักดิ์ท่านยังทิ้งไว้ที่โบสถ์วัดเจดีย์หลวง ท่านเข้าป่าไปท่านไม่สนใจเลย
นี่ถ้าคนที่หัวใจมันเข้มแข็งมันเข้มแข็งอย่างนั้น ถ้าหัวใจจะเข้มแข็งมันเข้มแข็งที่ไหนล่ะ? ที่เรามาฝึกฝนกันอยู่นี่ เรามาประพฤติปฏิบัติกันอยู่นี่ เรามาเสียสละทานกันอยู่นี่เราก็จะมาฝึกหัวใจเราให้เข้มแข็ง ถ้าหัวใจเข้มแข็งมันเปิดโล่งหมด ดูสิบ้านของเราเปิดประตู เปิดหน้าต่าง เปิดหมดเลย อากาศมันถ่ายเททุกอย่างเลย ในบ้านมันจะชื้นไหม? มันจะมีความอับในบ้านเราไหม? นี่เราฝึกหัดอย่างนั้น ถ้าฝึกหัดอย่างนั้นนะ แล้วถ้ามันเปิดหมดเลย โล่งหมดเลย แล้วขโมยมาลักของมันไม่ลักหมดเลยหรือ?
นี่ก็เหมือนกัน ว่าทำบุญกุศล ทำไปๆ ทำไปนี่ขโมยมันลักหมดเลย เวลาทำไปก็ต้องมีสติ ดูสิเวลาเราฝึกหัดใจของเราให้เข้มแข็งขึ้นมา เราเสียสละขึ้นมาแล้วเราก็ต้องมีสติ เราจะฝึกหัดภาวนา ถ้าฝึกหัดภาวนาเราจะมีพุทโธ เราจะมีปัญญาอบรมสมาธิ เราจะทำจิตใจเราให้เข้มแข็งขึ้นมา นี่มันพัฒนาเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป จิตใจมันจะเข้มแข็งขึ้นมา ถ้ามันเข้มแข็งขึ้นมา เห็นไหม ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ดูสิร่างกายมันจะอ่อนแอขนาดไหน ถ้าจิตใจมันเข้มแข็ง มันพาร่างกายนี้ไปได้ งานใดก็แล้วแต่ที่มันเห็นแล้วมันเป็นอุปสรรคมหาศาลเราจะทำไม่ได้ๆ มันท้อแท้ ถ้าจิตใจมันเข้มแข็งมันผ่านไปได้หมดเลยถ้าจิตใจมันเข้มแข็ง
พอจิตใจเข้มแข็ง จิตใจเข้มแข็งเราทำศีล สมาธิ มีสมาธิก็เกิดปัญญา แล้วฝึกหัดใช้ปัญญาขึ้นมา ปัญญาที่มันจะถอดมันจะถอนนะ มันจะถอดมันจะถอน มันจะเท่าทันความคิดตัวเองไง ถ้ามันเท่าทันความคิดตัวเองแล้ว ดูสิเวลาสังคมเขามีกระแสสังคมที่รุนแรงกันไป เรามองแล้วมันธรรมสังเวช มันสลด มันสังเวช แต่เราไม่เป็นเหยื่อไปกับเขา แต่ถ้าจิตใจเราอ่อนแอนะ เราเห็นสิ่งใดแล้วเราก็เจ็บช้ำน้ำใจไปกับเขาใช่ไหม เห็นคนเขากระทบกระเทือนกันเราก็เจ็บปวดใช่ไหม เราก็เลือกข้าง เราต้องไปข้างใดข้างหนึ่ง เพราะอะไร? เพราะเราเห็น ใครมีข้อมูลอย่างใดมันก็คิดของมันประสาอย่างนั้น มันไม่มีปัญญา
เข้มแข็งแล้วต้องมีปัญญาด้วย ปัญญาแยกแยะคัดเลือกว่าอะไรจริง อะไรปลอม เห็นไหม ธรรมะย่อมชนะอธรรม ธรรมะย่อมชนะอธรรม ก็พูดกันอยู่อย่างนี้ธรรมะย่อมชนะอธรรม แล้วธรรมะเป็นอย่างไรล่ะ? ธรรมะ เห็นไหม สัจธรรม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอาสวักขยญาณมีญาณหยั่งรู้ชำระล้างอวิชชาในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นไก่ตัวแรกที่เจาะฟองอวิชชาออกมานะ มีรัตนะ ๒ มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระธรรม
นี่ธรรมะย่อมชนะอธรรม ธรรมะย่อมชนะอธรรม ธรรมะเป็นอย่างไรล่ะ? ธรรมะชนะอธรรม เพราะธรรมะอันนั้นมันชนะกิเลสในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง มันชำระล้าง มันสำรอก มันคายพญามารที่มันครอบงำในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง นี่มันถึงมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระพุทธกับพระธรรม พอมีพระพุทธกับพระธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงเทศน์ธัมมจักฯ ขึ้นมา พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรมนั่นคือเกิดพระสงฆ์ รัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วเรานี่สาวก สาวกะ เรามีพุทธะ เรามีความรู้สึกในหัวใจ เรารักษาของเรา รักษาพุทธะของเรา
นี่ถ้าเราทำสัมมาสมาธิแล้วถ้าเกิดปัญญาขึ้นมา ธรรมะย่อมชนะอธรรม ธรรมะมันจะชนะกิเลสของเราไง ถ้าธรรมะมันชนะกิเลส นี่เรามีสติปัญญา ถ้าเรารักษาใจได้ ใจมันสงบระงับเข้ามา โอ้โฮ มีความสุขมากนะ มีความสุขมาก ไอ้ที่ความสุขทั่วๆ ไปในโลกนี้ที่เขาพูดกันที่ว่าว่างๆ ว่างๆ อันนั้นเป็นอารมณ์ว่าง อารมณ์ว่าง เราทำอารมณ์ให้ว่าง อารมณ์ เห็นไหม อารมณ์มันว่าง อารมณ์มันตึงเครียด อารมณ์มันทุกข์มันยาก ก็อารมณ์ แต่ถ้ามันเป็นสมาธิขึ้นมามันเป็นเอกเทศ เป็นเอกเทศนะ มันไม่รับรู้อารมณ์
การรับรู้อารมณ์คือสองไง เห็นไหม มันไม่รับรู้อารมณ์ พุทโธ พุทโธ พุทโธเป็นอารมณ์ไหม? ปัญญาอบรมสมาธิเป็นอารมณ์ไหม? เป็นทั้งนั้นแหละ เป็นจนกว่ามันจะละมันจะคาย มันคายออกไปแล้วมันทิ้งหมด มันเป็นเอกเทศของมัน พอเอกเทศนี่มันพูดไม่ได้เลยว่ามันเป็นอย่างไร แต่มันเป็น นี่ถ้าเป็นสัมมาสมาธิไง ถ้าเป็นสมาธิมันเป็นอย่างนั้น ไอ้นี่ว่าว่างๆ ว่างๆ อารมณ์ทั้งนั้นแหละ ว่างๆ ก็ในตุ่มในไหไง ในห้องในหับมันก็มีอากาศมันก็ว่าง ในห้องเรานี่เราขนของออกมามันก็ว่าง แล้วมันได้อะไรขึ้นมา
ดูสิเวลาเขาไปอวกาศ อวกาศมันว่างหมด นี่แล้วมันได้อะไรขึ้นมา มันไม่เห็นได้อะไรขึ้นมาเลย แต่ถ้าสัมมาสมาธิ นี่ถ้าเป็นความสุข สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี ถ้าจิตมันสงบระงับนะ ถ้าจิตสงบระงับด้วยอะไร? เวลาเราอ่านพระไตรปิฎก เราค้นคว้าสิ่งต่างๆ ขึ้นมา สิ่งนั้นมันเป็นทฤษฎี ถ้ามันเป็นความจริงเป็นความในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีพระพุทธกับพระธรรม แล้วถึงวางธรรมและวินัยนี้ไว้ให้เราศึกษา ศึกษานี่เป็นทฤษฎีทั้งนั้นแหละ แล้วเราไปคิดนี่ส่งออก ส่งออกไปยึดของมัน นี่เราไปสิ บ้านคนนั้นก็รวย บ้านคนนี้ก็รวย โอ้โฮ บ้านคนนั้นก็สวยงาม บ้านคนนั้น อู้ฮู ยอดเยี่ยมเลย แล้วบ้านเราไม่มี อาศัยนอนชายคาบ้านเขา
นี่ก็เหมือนกัน ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือธรรมของเราล่ะ ถ้ามันมีสติ มีคำบริกรรม พุทโธ พุทโธ พุทโธ พอมันสงบขึ้นมานี่ของเรา นี่ของเรา เราไปตื่นเต้นกับสมบัติคนอื่นไง เวลาเป็นของเราขึ้นมานี่มันมหัศจรรย์ ถ้าสุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มีมันเป็นอย่างนี้ มันเป็นความจริงขึ้นมา แต่ในปัจจุบันนี้ว่างๆ ว่างๆ คือพยายามจะทำให้เหมือน จะทำให้เหมือนจะทำให้เป็นว่ามันมี ว่ามันมี แล้วมีอย่างไร? มันก็เหมือนคนมันตื่น ตื่นสัญญาอารมณ์ต่างๆ มันก็เท่านั้นแหละ แต่ถ้าเป็นความจริงขึ้นมาอันนี้มันมีศักยภาพ มันมีศักยภาพเพราะอะไร? มันมีศักยภาพเพราะจิตมันเป็น พอจิตมันเป็น จิตมันมีสมบัติประจำตนมัน
ถ้าจิตมีสมบัติประจำตนมันหวั่นไหวไปกับอะไร เห็นไหม ถ้าจิตจะเข้มแข็ง ถ้าเข้มแข็งแล้วเกิดปัญญาขึ้นมา ถ้ามันออกใช้ปัญญาของมัน มันแตกต่าง คนฟังรู้ นี่คนที่ไปถนนหนทางที่เขาถึงเป้าหมายของเขา เขารู้เลยว่าเขาผ่านถนนหนทางมาอย่างใด ไอ้คนที่สำมะเลเทเมา มันลงข้างทาง มันไปตามคันนา มันลงไปตามห้วยหนองคลองบึง มันบอกว่ามันไปถึงที่หมาย ที่หมายอะไรของมัน ที่หมายที่ไหน นั่นมันเข้าป่าเข้าเขาไปนั่นน่ะ
เวลาพูดก็พูดกันนะ เห็นไหม แล้วก็พูดอ้างทั้งนั้นแหละ อ้าว กินข้าวเราก็อิ่มเอง อิ่มก็ต้องรู้เอง แล้วถ้าอวิชชามันพารู้ล่ะ? ถ้ากิเลสมันพารู้ล่ะ? ถ้ากิเลสมันพารู้มันก็ไปอย่างนั้นแหละ ถ้ากิเลสมันพารู้ก็พาออกไปไง แล้วมันก็อ้างอิงธรรมะไง นี่กิเลสมันบังเงาๆ ก็เป็นอย่างนั้นไง นี่จิตใจที่มันจะเข้มแข็งขึ้นมา มันควรจะเป็นประโยชน์ขึ้นมา จิตใจที่มันพัฒนาขึ้นมาแล้วมันออกเป็นทิฐิมานะไปอีกเรื่องหนึ่งเลย นี่กามสุขัลลิกานุโยค อัตตกิลมถานุโยค มันไป ๒ ข้าง ๒ ส่วน นี่ความสมดุลๆ แล้วความสมดุล ความพอดี พอดีอย่างไรล่ะ? มัชฌิมาปฏิปทาความพอดีของมัน ถ้าพอดีของมันนี่งานชอบ เพียรชอบ
นี่ทำงานของเรา เราอุตส่าห์มาทำบุญกุศลนี้ก็เป็นงานอันหนึ่ง ถ้างานอันหนึ่ง เราเห็นคุณค่าของการรักษาหัวใจของเรา ถ้าเราไม่เห็นคุณค่าการรักษาหัวใจ เราจะมาวัดมาวาทำไม นี่ทำไมเราไม่อยู่ตามสะดวกสบายของเรา ถ้าอยู่ตามสะดวกสบายของเรามันก็ทับถมอยู่นั่น มันก็อึดอัดขัดข้องอยู่นั่นล่ะ ถ้าไปวัดไปวา ไปผู้ทรงศีล ไปที่เป็นสัปปายะ ให้หัวใจมันได้พัฒนาของมัน ร่างกายแข็งแรง จิตใจแข็งแรง พอจิตใจแข็งแรงขึ้นมาแล้วเราฝึกหัดใช้ปัญญาของเรา ถ้าปัญญาเกิดขึ้นนี่มันเป็นประโยชน์กับเราแล้ว
ถ้าเป็นประโยชน์กับเรา อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ผู้ที่มีคุณธรรมในหัวใจนะ ดูสิหลวงปู่มั่น เวลาครูบาอาจารย์ท่านบอกว่าไม่ใช่เทียบเคียงนะ แม้แต่นั่งอยู่หน้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่ถาม คำว่าไม่ถามมันจริงแท้ขนาดไหน แม้แต่นั่งอยู่หน้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่ถาม ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมานะ แต่ของเรามันไม่เป็นความจริง ไม่เป็นความจริง แต่เราอาศัยประเพณีวัฒนธรรม มันเป็นวัฒนธรรมของชาวพุทธเรา เราก็อาศัยสิ่งนี้เป็นที่พึ่งอาศัย นี่เราพยายามจะสร้างอำนาจวาสนาบารมีของเรา แล้วเราพยายามประพฤติปฏิบัติของเราให้เป็นความจริงของเราขึ้นมา
ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา เห็นไหม ถ้าคนร่างกายอ่อนแอมันก็เจ็บไข้ได้ป่วย มันเจอสิ่งใดมันก็เจ็บไข้ได้ป่วยได้ง่าย เพราะร่างกายอ่อนแอไม่มีภูมิต้านทาน จิตใจของคนถ้ามันไม่มีภูมิต้านทานสิ่งใดก็เชื่อ สิ่งใดก็เชื่อ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายืนยันไว้เลย กาลามสูตรไม่ให้เชื่อแม้แต่อาจารย์ของเรา ไม่ให้เชื่อทั้งนั้นแหละท่านให้พิสูจน์ ถ้าต้องให้พิสูจน์ท่านไม่ให้เชื่อ ถ้าจิตใจมันแข็งแรง มันแข็งแรงอย่างนั้นแหละ แล้วเวลาปฏิบัติไป นี่เวลามันไปเจอไปพบสิ่งใด จิตมันเป็นขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ สมาธิเล็กๆ น้อยๆ มันก็บอกมันเป็นของมัน ให้มันพิสูจน์ของมันไป เดี๋ยวมันจะลึกเข้าไป มันจะพัฒนาของมันขึ้นไป
นี่พัฒนาขึ้นไปมันจะรู้เองไง รู้เอง เห็นเองไง ต้องให้เป็นสัมมาทิฏฐิเป็นความเห็นถูกต้องดีงาม ถ้าไม่เป็นความถูกต้องดีงาม เวลามันรู้มันเห็นไปมันก็ยึดของมัน มันก็เป็นของมัน กาลามสูตรๆ ให้เชื่อความเป็นจริง ให้เชื่อการประพฤติปฏิบัติ ให้เชื่อแนวทางปฏิบัติของเรา นี่เราพัฒนาใจของเราอย่างนี้ เริ่มต้นจากการทำทาน เรามาทำทานทำบุญกุศลของเรา ทำบุญกุศลฟังธรรมๆ ฟังธรรมเตือนสติ เตือนสติเกิดความรู้สึกนึกคิด มันทำให้ความรู้สึกนึกคิดมันไม่ให้กิเลสมันครอบงำจนเกินไปนัก
เวลาเราเกิดมา เกิดมาต้องมีอาชีพ เกิดมาต้องมีหน้าที่การงาน คนเราจะดีจะชั่วก็อยู่ที่ผลของงาน นั่นงานการดำรงชีวิต แต่ถ้าเราจะเอาใจของเรา เราจะมีคุณธรรมของเราด้วย ถ้าเรามีคุณธรรมของเราด้วย เรามีสติมีปัญญา อย่าเชื่อสิ่งใดง่ายๆ แล้วทำของเราพัฒนาของเราไป พัฒนาขึ้นมาแล้ว นี่ทำขนาดนี้ก็ไม่ได้ อะไรก็ไม่ได้ แล้วอะไรมันจะได้ล่ะ? มันจะเอาอะไรได้ง่ายๆ ล่ะ? ของมันมีคุณค่ามันก็ต้องหา ต้องมีการกระทำ แล้วคนปฏิบัติใหม่ๆ เป็นแบบนี้ทั้งนั้นแหละ
มันเหมือนกับไม้ดิบๆ มันจุดไฟติดได้ยาก จิตใจดิบๆ ทุกคนก็อยากได้ คนไฟแรงทำนี่ทำเต็มที่เลย แต่มันก็ไม่สมบูรณ์ ไม่พอดี เมื่อไหร่พอดีขึ้นมา โอ้โฮ มันไปได้เลยนะ ถ้าคนภาวนาเป็นมาแล้วมันจะก้าวเดินเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป มันจะพัฒนาของมันเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป นี่เรากลับมาดูเรา คนที่อดนอนผ่อนอาหารเขาก็ต้องวัดว่าร่างกายของเรามันจะรับได้แค่ไหน ถึงเวลาเขาก็มาฉันเพื่อรักษา แล้วดำเนินต่อไป เห็นไหม การปฏิบัติสม่ำเสมอ เสมอต้นเสมอปลาย นี่เข้าพรรษามา ๗ วันแล้ว วันนี้วันพระเล็ก ต่อไปเทศน์อีก ๕ วันพระออกพรรษาอีกแล้ว นี่วันคืนล่วงไป บัดนี้เราทำอะไรอยู่ เตือนสติของเรา ดูแลหัวใจของเรา พัฒนาใจของเราเพื่อความสุขแท้จริงในใจของเรา เอวัง
맊